วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกในประเทศตะวันตก ทางยุโรป ที่ข้าพเจ้าสนใจ


(ป้อมปราการแห่งโวบอง)




บทนำ


             แผ่นหินและผืนน้ำที่ "ป้อมปราการแห่งโวบอง" ในประเทศฝรั่งเศส (France) กับกลิ่นอายของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ซึ่งนับว่าอยู่ในช่วงดับดับต้นๆของยุโรป โดยเฉพาะเมื่อคุณเดินทางไปตามแนวพรมแดนด้านตะวันตก  เหนือ และตะวันออกของฝรั่งเศส ซึ่งที่นี่คุณจะพบกับร่องรอยแห่งวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของ ป้อมปราการแห่งโวบอง (Fortifications of Vauban) ป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อครั้งสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14


ที่ตั้งและภูมิประเทศ




          ป้อมปราการแห่งโวบอง ประกอบด้วยป้อมปราการ ๑๒

กลุ่ม ตั้งอยู่ตลอดแนวพรมแดนด้านตะวันตก เหนือ และตะวัน

ออกของฝรั่งเศส

ละติจูด : 50.2825 องศา     ลองติจูด : 2.7588888889 องศา


ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์




โวบองผู้มีตำแหน่งเป็น   มาเรชาลเดอฟรองซ์  ซึ่งเป็นตำแหน่งทางพลเรือนอันมีเกียรติที่มอบให้แก่ทหารผู้มีเกียรติคุณ เป็น วิศวกรการทหาร แนวหน้าของยุค โวบองมีชื่อเสียงในด้านความเชี่ยวชาญในการออกแบบและการทำลายระบบป้อมปราการ นอกจากนั้นโวบองก็ยังเป็นผู้ถวายคำแนะนำแก่  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14  ในด้านการปรับปรุงพรมแดนของฝรั่งเศสให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันตนเอง และยังเป็นผู้ให้การตัดสินใจที่ค่อนข้างจะออกแนวในการยุบภูมิภาคบางภูมิภาคเพื่อทำให้ภูมิภาคที่คงเหลืออยู่มีความแข็งแกร่งขึ้น ที่ทำให้ยากต่อการทลวงเข้ามาโดยข้าศึกจากประเทศเพื่อนบ้าน   
สิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ เมืองที่โวบองสร้างขึ้น ป้อมกำแพงเมืองที่มีป้อมยื่น และหอคอยที่มีป้อมยื่น นอกจากนี้ ยังมีป้อมบนเขา ป้อมในทะเล ป้อมปืนบนเขา และสิ่งก่อสร้างสำหรับการสื่อสาร ๒ แห่งบนเขา มรดกโลกแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเนื่องจากเป็นหลักฐานของจุดรุ่งเรืองสูงสุดของป้อมปราการแบบคลาสสิค ซึ่งเป็นแบบมาตรฐานของสถาปัตยกรรมการทหารของตะวันตก นอกจากนี้โวบองยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ป้อมปราการของยุโรปและในทวีปอื่น ๆ จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕)


        
ผู้สร้าง






โวบอง 

 (Sébastien Le Prestre de Vauban)

       ป้อมปราการแห่งโวบอง ประเทศฝรั่งเศส เกิดจากความคิดของจอมพลมาร์คี เดอ โวบอง ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนายทหารช่างเก่งกาจที่สุดของแผ่นดิน โดยจอมพลโวบองแสดงความสามารถด้วยการเป็นทั้งผู้ออกแบบ และสร้างขึ้นเอง ทั้งยังเคยถวายคำปรึกษาแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เรื่องการรวบรวมพรมแดนฝรั่งเศสให้เป็นแผ่นเดียวกันเพื่อทำให้ชายแดนแข็งแกร่งขึ้น

 
รูปแบบศิลปะทางสถาปัตยกรรม

      

     เป็นแบบสถาปัตยกรรมทางการยุทธการและในปี ค.ศ.2008 ป้อมปราการแห่งโวบองได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลก เนื่องจากเป็นหลักฐานของจุดรุ่งเรืองสูงสุดของป้อมปราการแบบคลาสสิคอีกด้วย


สถานที่ใกล้เคียง



       นอกจากจะชมอาคาร ป้อมปราการ และส่วนอื่นๆแล้ว คุณยังสามารถเดินชมบรรยากาศริมทะเล ธรรมชาติอันสวยงามของชายหาด ซึ่งอยู่ใกล้ๆป้อมปราการนั่นเอง


สรุป

          ป้อมปราการแห่งโวบอง ถือว่าเป็นป้อมปราการที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในผลงานของ เซบาสเตียน เลอ แพรสตร์ เดอ โวบอง ซึ่งเป็นวิศวกรการทหารของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว เซบาสเตียน เลอ แพรสตร์ เดอ โวบอง ยังถือได้ว่าเป็นวิศวกรทหารที่สำคัญของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสอีกด้วย


บรรณานุกรม

http://th.wikipedia.org/wiki

http://www.thaiwhic.go.th/heritageList.aspx?states=962

ศิลปะตะวันตกครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน ( Post-modernism)

ศิลปะปอปอาร์ต (Pop Art)

                  ศิลปะปอปอาร์ต (Pop Art)  เป็นแบบอย่างของศิลปะที่สร้างความตื่นเต้นพุ่งขึ้นมาทันทีทันใดแก่ผู้พบเห็น อันมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับคนทั้วๆไป เป็นเรื่องราวที่แสดงความเป็นอยู่ปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา ความเชื่อ หรือ โบราณนิยายอย่างแต่ก่อนๆ ใช้เทคนิคตามแบบอย่างศิลปะแอบสแตรค และเอ็กซเพรสชั่นนิสม์ ศิลปินกลุ่มนี้ล้วนเป็นศิลปินรุ่นหนุ่ม ล้วนมีความคิดแปลกใหม่ ก้าวหน้า มีความเชื่อเกี่ยวกับศิลปะว่า ศิลปะ “สร้างขึ้นมาจากสัพเพเหระของชีวิตปัจจุบัน ในช่วงระยะหนึ่ง เวลาหนึ่ง ซึ่งสะท้อนความรู้พื้นฐานธรรมดา ที่ศิลปินมีส่วนร่วมอยู่ด้วย” ทางด้านเทคนิค ใช้เทคนิคทุกอย่างของแอบสแตรค เช่น วิธีหยด สลัก ป้าย เส้นรอบนอกคม ตามที่ศิลปินต้องการ ทางด้านเรื่องราวก็พยายามเน้นรูปวัตถุให้คมชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น และบางทีก็มีความหมายเสียดสีสังคม สะท้อนสังคมยุคปัจจุบันด้วย

          ศูนย์กลางความเจริญทางด้านศิลปะวัฒนธรรมอยู่ที่ยุโรปยาวนานร่วมๆพันปีนับตั้งแต่ยุคกลางมา แต่พอมาถึงศตวรรษที่ 20 ฝั่งเอมริกาก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ และวัฒนธรรมของอเมริกาก็ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดเป็นสื่อนำ ภาพยนตร์นี้ก่อให้เกิดดารา แฟชั่น การโฆษณา และเพลงประกอบ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนรุ่นใหม่ไปทั่วทั้งโลก ป็อบอาร์ตถือกำเนิดขึ้น ป็อบอาร์ตเป็นแบบอย่างของศิลปะที่สะท้อนพลังสภาพแท้จริงของสังคมปัจจุบัน ตามความรู้สึกความเข้าใจของสามัญชนทั่วไป ในชั่วขณะหนึ่ง เวลาหนึ่ง เป็นศิลปะที่เกี่ยวกับความชุลมุนวุ่นวายของสังคม พลุ่งประดุจพลุ ชอบวันนี้ พรุ่งนี้ลืม เป็นต้น
         
          กลุ่มศิลปินที่สร้างสรรค์งานชนิดนี้เชื่อว่า ศิลปะสร้างขึ้นจากสิ่งสรรพเพเหระของชีวิตประจำวัน เป็นการแสดงความรู้สึกของประสบการณ์ที่พบเห็นของศิลปินในช่วงเวลานั้น ขณะนั้น ณ ที่แห่งนั้น เรื่องราวที่ศิลปินนำเสนอมีแตกต่างกันไป เช่นบางคนเขียนเรื่องเกี่ยวกับ ดารายอดนิยม บ้างก็เขียนเรื่องเครื่องจักร บ้างก็เขียนภาพโฆษณา เรื่องง่ายๆใกล้ๆตัวจึงทำให้หลายๆคนเห็นว่างานแนวนี้ไม่ควรค่าแก่คำว่าศิลปะ เพราะมันเป็นความนิยมแค่ชั่ววันชั่วคืน ตื่นเต้นฮือฮาพักหนึ่งก็จางหาย

          อย่างไรก็ตามกลุ่มที่นิยมในแนวนี้ก็ยังคงยืนยันว่ามันคือศิลปะ เขาอ้างว่า สิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะแน่นอน เพราะผลงานนั้นกระตุ้นให้เราตอบสนองทางความรู้สึกอย่างนั้น ที่จริงแล้ว สิ่งที่เรารู้ว่าเป็นศิลปะ คือสิ่งที่ศิลปินสร้างสรรค์ พวกเขามีความเชื่อเกี่ยวกับสุนทรียภาพว่า สุนทรียภาพ คือความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับสภาพต่างๆที่ปรากฎในโลกของอุตสาหกรรม โลกชนบท และโลกเศรษฐกิจ ศิลปินพยายามตอบสนองโลกที่แวดล้อมภายนอกเหล่านี้โดยแสดงความรู้สึกด้วยภาพ ซึ่งใช้วิธีการของแอบแสตรกบ้าง เอกซเพรสชั่นนิสม์บ้าง คิวบิสม์บ้างตามความเหมาะสม

         ในด้านดนตรีฝั่งอเมริกา เพลงมีฟอร์มการบรรเลงที่กระชับ จำง่าย มีความยาว 2-3 นาที แรกเริ่มเดิมทีเป็นดนตรีที่ใช้ในการเต้นรำ ในยุคทศวรรษที่ 20-30 ดนตรีสวิงเป็นที่นิยมกันมาก ในยุคนั้นจัดว่าเพลงสวิงคือเพลงป็อบชนิดหนึ่ง คำว่าป็อบ (pop) เป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างพลุ่งพล่าน ในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นถ้าใครเข้าใจว่าเพลงป็อบเป็นเพลงสไตล์หนึ่งก็แปลว่าเข้าใจผิด สไตล์ของเพลงจำแนกได้จากริทึ่มและการเรียบเรียง ริทึ่มป็อบนี่ไม่มี มีแต่ริทึ่มบลูส์ ร็อค สวิง ฯลฯ แต่ถ้าเพลงต่างๆเหล่านั้นเป็นที่นิยมกันก็จะเรียกว่าเพลงป็อบ สวิงเป็นยุคหนึ่งของแจ๊ส เพลงแจ๊สมีการพัฒนาอย่างหลากหลายและยาวนาน ในภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็ใช้เพลงแจ๊สประกอบอยู่เป็นประจำ หลายเพลงก็ได้รับความนิยมจนกลายเป็นเพลงอมตะไป จวบจนทุกวันนี้ก็ยังมีดนตรีแจ๊สสอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง บางคนอาจจะไม่รู้
          นับจากทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา ดนตรีอเมริกาเริ่มใช้ริทึ่มที่หนักแน่นขึ้น ดนตรีร็อคเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ทศวรรษที่ 70 ดนตรีโซล ฟังค์ อาร์แอนด์บี ก็โดดเด่นขึ้นมา จากนั้นก็เป็นดิสโก และนับเป็นรากฐานสำคัญสำหรับเพลงป็อบในปัจจุบัน (อย่างพวกบอยแบนด์เป็นด้น) ปัจจุบันเพลงป็อบซึ่งเป็นรูปแบบดนตรีของอเมริกาได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพลงที่แต่งขึ้นในเชิงพาณิชย์ไม่ว่าจะชนชาติใด ต่างก็ใช้รูปแบบของดนตรีอเมริกันทั้งสิ้น   (http://www.artofcolour.com/)

          พ็อพ อาร์ต เป็นศิลปะที่เฉลิมฉลองวัฒนธรรมพ็อพ (พ็อพพูลาร์ คัลเจอร์) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมระดับมหาชน ที่ถูกจัดว่าเป็นวัฒนธรรมหรือศิลปะระดับล่าง โดยมีศิลปะชั้นสูงเป็นขั้วตรงกันข้าม ศิลปะชั้นสูงที่ว่านี้คือ บรรดางานศิลปะที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นของดีมีคุณภาพ แต่ละชิ้นมีความเป็นต้นแบบต้นฉบับ มีเพียงหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร มีคุณค่าเสียจนสถาบันศิลปะหรือสถาบันระดับรัฐต้องซื้อเก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์ของประเทศชาติ

          ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1940-1950 แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ (Abstract Expressionism) กระเสือกกระสนแสวงหาชื่อเสียงและการยอมรับ จนกระทั่งนักวิจารณ์ยกย่อง พิพิธภัณฑ์ซื้องานเพื่อเปิดแสดง แต่ชาวบ้านไม่เข้าใจ ภาพเขียน แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ กลายเป็นศิลปะสมัยใหม่ชั้นสูง เป็นสิ่งที่จำกัดอยู่ในชนชั้นสูงหรือชนชั้นกลางที่มีการศึกษาดี เป็นของจำเพาะสำหรับคนในวงการศิลปะตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมพ็อพ ที่เป็นวิถีปฏิบัติและรสนิยมแบบตลาดดาษดื่น เป็นวัฒนธรรมแห่งการเสพสินค้าที่ผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม มีจำนวนมากๆ ทุกชิ้นผลิตออกมาเหมือนกัน คนหมู่มากซื้อมาใช้เหมือนกันไปหมด เทียบไม่ได้กับงานฝีมือ งานสร้างสรรค์ชั้นสูง

          

 แคลส์ โอลเดนเบอร์ก (Claes Oldenburg)


    


         แคลส์ โอลเดนเบอร์ก (Claes Oldenburg)ตอบสนองอาหารสำเร็จรูปที่คนชอบให้เห็นได้เป็นก้อนโต เพื่อชี้แจงให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญ และตื่นเต้น เช่น ทำรูปแฮมเบอร์เกอร์ ขนาดยักษ์ด้วยหมอน เป็นต้น

          เเคลส์ โอลเด็นเบิร์ก (Claes Oldenberg) ปฏิเสธเรื่องราวยิ่งใหญ่แบบคลาสสิคมหากาพย์ทั้งหลาย โอลเด็นเบิร์ก หยิบจับเอาข้าวของในชีวิตประจำวันสมัยใหม่ เช่น ไม้หนีบผ้ากระดุม ก็อกน้ำและสายยาง และขนมพายมาทำประติมากรรม ขยายขนาดจนใหญ่โตมโหฬาร เรียกรอยยิ้มจากคนดูได้เป็นอย่างดี นอกจากทำของเล็กให้ใหญ่โตแล้ว โอลเด็นเบิร์ก ยังทำงานอีกชุดที่เป็น ประติมากรรมอ่อนนุ่ม (soft sculpture) เขานำเอาข้าวของเครื่องใช้กระจุกกระจิกมาขยายใหญ่โตเกินปกติ และยังใช้วัสดุนุ่มนิ่มมาสร้างประติมากรรม ทำให้สิ่งของเหล่านั้นอ่อนปวกเปียกผิดธรรมชาติของวัตถุต้นแบบนั้นๆ เรียกได้ว่า ท้าทายการคิดการทำประติมากรรมในแบบจารีตประเพณีมากๆ เลยทีเดียว
          แม้ว่าความเคลื่อนไหวของ พ็อพ อาร์ต จะมีความตื่นตัวที่สุดในราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่แนวทางของ พ็อพ อาร์ต ยังคงร่วมยุคร่วมสมัยกับสังคมและวงการศิลปะในปัจจุบันเป็นอย่างดี เพราะพวกเรายังอยู่ในสังคมยุควัฒนธรรมพ็อพ หรือตามที่มีเสียงกระหึ่มดังว่าเป็นสังคมยุค หลังสมัยใหม่ (โพสต์โมเดิร์น) กันไปแล้ว เป็นยุคสมัยที่อะไรๆ จากยุคสมัยใหม่ก็ถูก "ถอดรื้อ" และถูกตรวจสอบไปเสียหมด เป็นยุคที่อะไรๆ ก็ถูก "ทำให้พ็อพ" ของสูงก็ถูกทำให้กลายเป็นของสามัญ กลายเป็นสินค้าสำหรับซื้อขายไปเสียทุกอย่าง


ตัวอย่างภาพ : ศิลปะปอปอาร์ต (Pop Art)

 



**********************************

แบบฝึกหัดท้ายบท บทที่ 1 - 10

แบบฝึกหัดบทที่ 1

1. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ตอบ ค. มนุษย์ไม่ต่างจากสัตว์ในแง่ของอารมณ์และคาวมรุ้สึกทางธรรมชาติ

2. การที่สังคมมีความซับซ้อนและมีความเจริญทางวัตถุเกิดจากสาเหตุสำคัญในข้อใด
ตอบ ค. เครื่องมือ

3. ข้อใดถูกต้องที่สุดเมื่อกล่าวถึงการศึกษางานศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในโลกตะวันตก
ตอบ ง. ภาพเขียนสีถ่ำลาสโคซ์

4. คำว่ามนุษย์ผู้ถนัดในการใช้มือตรงกับข้อใดมากที่สุด
ตอบ ก. โฮโมฮาบิลิส

5. ขอใดเป็นมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งในยุโรปซึ่งทิ้งผมงานศิลปะไว้มากมายในถ่ำต่างๆ
ตอบ ข. โครมันยอง

6. ข้อใด มิใช่ แหล่งโบราณคดีซึ่งพบหลักฐานภาพสีสมัยหินเก่าอายุประมาณ 30,000-25,000BC.ในยุโรป
ตอบ ค. โอลดูเวย์

7. ข้อใดเป็นศิลปะถ่ำซึ่งพบโดยบังเอิญจากการเล่นซุกซนของเด้กสองคนเมื่อ ค.ศ.1940
ตอบ ข. ลาสโคซ์

8. ภาพเขียนสีในถ้ำอะไรมักถูกยกเป็นตัวอย่างของจิตรกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์เสมอ
ตอบ ก. อัลตามีรา

9. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ตอบ ง. งานประติมากรรมรูปคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักมีขนาดใหญ่

10. Menhir or Standing Stone เป็นอนุสาวรีย์หินแบบใด
ตอบ ข. หินตั้งเดี่ยว


แบบฝึกหัดบทที่ 2

1. พื้นฐานดั้งเดิมก่อนเกิดอารยธรรมตะวันตกก่อตัวขึ้นเมื่อใด
ก. ประมาณ 4,000 BC.

2. ภูมิภาคแถบเอเชียไมเนอร์เป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมโบราณในข้อใด
ก. เมโสโปเตเมีย

3. แม่น้ำไทกริส – ยูเฟรตีส พัดดินตะกอนมาท่วมสองฝั่งภาคใต้ของดินแดนเมโสโปเตเมียในฤดูใบไม้ผลิระหว่างเดือน …. ทำให้ภาคใต้เป็นดินแดนที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลอุดมด้วยปุ๋ยธรรมชาติเหมาะต่อการเพาะปลูกพืชพรรรธัญญาหารต่างๆข้อใดถูกต้อง
ข. มีนาคม – พฤษภาคม

4. พื้นที่ภาคเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมียมีฝนตกชุกเมื่อใด
ค. ฤดูหนาว

5. ข้อใดเป็นชนชาติเก่าแก่ที่ริเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นมา
ก. ชาวสุเมอเรียน

6. ข้อใดเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียมองโลกในแง่ร้ายและไม่เห็นคุณค่าของชีวิต
ก. สภาพภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายแปรปรวน

7. ชาวสุเมอเรียนไม่นิยมสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ แต่นิยมสร้างซิกเกอแรท (Ziggurats) ศาสนสถานขนาดใหญ่กลางเมืองเป็นที่ประทับของเทพเจ้า ลักษณะคล้ายภูเขาห้อมล้อมด้วยกำแพงเมืองและบ้านเรือนประชาชน สร้างจากวัสดุประเภทใด
ก. อิฐตากแห้ง

8. ข้อใดเป็นการปกครองในระยะแรก ของอาณาจักรสุเมอเรียน
ง. สภาของผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะ

9. ข้อใดเป็นอักษรที่เกิดจากการใช้ไม้เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวแล้วผึ่ง หรืออบให้แห้ง
ก.คูนิฟอร์ม

10. ข้อใดเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย
ก. ฮัมมูราบี

11. “ พวก Canaanites ” เป็นคำเรียกชนชาติในข้อใด
ก. ชาวฟีนิเชียน

12. หลังจากถูกรุกรานโดยชาวยิวและชาวฟิลิสไตน์เมื่อประมาณ 1,300 – 1,000 BC. ดินแดนของชาวคะนาอันไนต์จึงเหลือเพียง “ ฟีนีเซีย ” ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งแคบๆของทะเลอะไร
ก. ทะเลเมดิเตอเรเนียน

13. ในปี 750 BC. ชนชาติใดได้เข้ามายึดครองดินแดนของชาวฟีนิเชียนจนเกือบหมด เหลือเพียงอาณานิคมที่เมืองคาร์เธจเท่านั้น
ก. ชาวแอสซิเรียน

14. ข้อใดเป็นต้นตระกูลของอักษรที่ชาวยุโรปใช้อยู่ในปัจจุบัน
ค. อักษรฟีนิเชียน

15. ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะลทรายเมื่อ 1,400 BC. มี Moses เป็นผู้นำสำคัญในการปลดแอกจากการเป็นทาสของชนชาติใด
ข. อียิปต์

16. ข้อใดเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลเมื่อประมาณ 1,013 – 973 BC.
ก. พระเจ้าเดวิด

17. อาณาจักรอิสราเอลถูกทำลายโดยชนชาติใด
ง. ชาวแอสซิเรียน

18. เหตุการณ์ที่เรียกว่า The Babylonian Captivity เกี่ยวกับชนชาติใด
ข.ชาวฮิบรู

19. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับศาสนายูดาย
ข. นับถือพระยะโฮวา

20. ผู้สถาปนาอาณาจักรเปอร์เซียเมื่อปี 549 BC. คือใคร
ง. พระเจ้าไซรัส



แบบฝึกหัดบทที่ 3

1. มหากาพย์อีเลียดและโอเดสซีเป็นของอารยธรรมกรีกยุคใด
ก.ยุคมืด

2. วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพของเทพองค์ใด
ข. อะเธนา

3. หัวเสาทำเป็นรูปใบไม้ตรงกับข้อใด
ค. หัวเสาแบบโครินเธียน

4. ความนิยามในการสร้างประติมากรรมหญิงเปลือยแทนรูปชายเปลือยเกิดขึ้นยุคใด
ง. ยุคเฮเลนิสติก

5. จิตรกรรมกรีกสมัยแรกมักทำ Back ground เป็นสีอะไร
ข. สีแดง

6. ลักษณะของงานจิตรกรรมที่นิยมวาดสีตัดกับพื้นในฉาก แล้วพัฒนาเป็นรูปเครือเถา และรูปเล่าเรื่องในนิทานปรัมปรา (Methology) และมหากาพย์ของโฮเมอร์อย่างกลมกลืนงดงามเกิดขึ้นในยุคใด
ค. ยุคคลาสสิค

7. การแสดงละครแพร่หลายมากในยุคใด
ค. ยุคคลาสสิค

8. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงละครแบบโศกนาฎกรรม (Tragedy) และสุขนาฎกรรม (Comedy)
ก. ตัวละครชายทั้งหมด

9. นักปรัชญากรีกที่ก่อตั้งสำนักอะคาเดมีขึ้นที่เอเธนส์คือใคร
ข. เพลโต

10. นักปรัชญาที่เชื่อว่า ปัญญานำมาซึ่งความรู้ และความรู้นำมาซึ่งความสุขสบาย ถ้าปราศจากความสุขสบายมนุษย์จะไม่เกิดปัญญา คือใคร
ค. อริสโตเติล

11. เทพองค์ใดมิใช่พี่น้องของมหาเทพซูส
ข. ฮาเดส

12. อาวุธของมหาเทพซูสคืออะไร
ค.สายฟ้า

13. เทพที่มักปรากฎกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้างสวมรองเท้ามีปีกถือคทาที่มีงูพันคือใคร
ค. เฮอร์มีส

14. เทพีแห่งการครองเรือนและเทพแห่งครอบครัวคือใคร
ค. เฮสเทีย

15. เทพีแห่งสงคราม ความฉลาดเฉลียว และศิลปศาสตร์
ข. อะธีน่า

16. เป็นฉนวนเหตุของสงครามกรุงทรอยคือใคร
ข. เฮเลน


แบบฝึกหัดบทที่ 4

1. การปกครองในข้อใดทำให้เกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)
ค. การปกครองแบบ Tretarchy

2. หลังจากเกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ ข้อใดเป็นรูปแบบการปกครองของจักรวรรดิดังกล่าว
ก. การปกครองแบบ Autocrat

3. “ โรมใหม่ ” หมายถึงข้อใด
ค. คอนสแตนติโนเปิล

4. ข้อใดไม่ใช่พื้นที่ของอาณาจักรโรมันตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่ 7
ค. คาบสมุทรไอบีเรีย

5. ข้อใดเป็นการปกครองที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งทางจักรวรรดิและทางศาสนา
ก. การปกครองแบบ Autocrat

6. จักรวรรดิโรมันตะวันออกใช้ภาษาอะไรในการสื่อสารอย่างเป็นทางการ
ก. กรีก

7. คริสต์ศาสนาแบบ Christian Hellenism มีศูนย์กลางที่ใด
ง.กรุงคอนสแตนติโนเปิล

8. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการแพร่หลายของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์
ง. ยุโรปตะวันตก

9. ข้อใดไม่ใช่เมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงจัดไว้เมื่อ ค.ศ. 325
ก. เอเธนส์

10. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ง. Novels คือ นิยายเรื่องยาว

 
แบบฝึกหัดบทที่ 5

1. ยุคกลางหมายถึงยุคซึ่งอยู่ระหว่าง
ตอบ ความเจริญโลกคลาสสิกกับยุโรปใหม่

2. ศิลปในยุคกลางตอนต้นเรียกว่า
ตอบ ยุคแห่งความสำเร็จพวกนอร์ธแมน

3. ยุคกลางตอนปลายเป็นยุคเสื่อมของ
ตอบ สถาบันศาสนาและศักดินา

4. ระบอบศักดินาหมายถึง
ตอบ ระบอบการปกครองทางสังคมที่เน้นกรรมสิทธิ์ที่ดิน

5. ยุคกลางสิ้นสุดลงเมื่อใด…..ค้นพบทวีปอเมริกา
ตอบ คริสโตเฟอร์ โคลัมปัส

6. Benefice ในสมัยกลาง หมายถึง
ตอบ จารีตการยกที่ดินของวัดให้เอกชนเช่า

7. Lord หมายถึง
ตอบ ขุนนางชั้นสูงซึ่งได้รับพระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดิน

8. พวก Crofter and Cotters ในสมัยกลางหมายถึง
ตอบ คนที่มีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าทาสติดที่ดินเพราะไม่มีที่ดินทำกิน

9. อำนาจของชนเผ่าเยอรมันมาจาก
ตอบ การใช้คมหอกสั้นปลายแคบและเครื่องมือเหล็ก

10. ชาวคริสต์เชื่อว่ากรุงโรมเป็นสถานที่ศักสิทธิ์เพราะ
ตอบ เป็นที่ฝังร่างของนักบุญ ชื่อ ปีเตอร์ซึ่งเป็นประมุของค์แรก

11. วิหารพระเจ้าชาเลอมาล ตั้งอยู่ที่ใด
ตอบ เมืองอาเคน

12. โบสถ์ All Saint Church ที่นอร์แธมตันไชร์ ประเทศอังกฤษ เป็นโบสถ์แบบ
ตอบ แองโกล-แซกซอน

13. สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์มีลักษณะเด่นคือ
ตอบ อาคารมีประตูหน้าต่างโค้งกลม กำแพงหนา หน้าต่างบานเล็กและเรียวยาว

14. มหาวิหารดูแรห์ม มีลักษณะเด่นคือ
ตอบ การทำซุ้มโค้งแบบไขว้

15. จุดเด่นของสถาปัตยกรรมกอธิคคือ
ตอบ การใช้เสาค้ำยันจากภายนอกและใช้เสาหินรองรับน้ำหนักของหลังคา

16. ใครเป็นผู้เขียนวรรณกรรมเรื่อง The City of god
ตอบ นักบุญ Augustin

17. มหากาพย์เรื่อง Chanson de Roland สะท้อนให้เห็นคุณธรรมด้านใด
ตอบ เห็นความกล้าหาร อุดมการณ์ จริยธรรม ความเสียสละและศรัทธาในศาสนาคริสต์

18. นิยายเพ้อฝันสมัยกลางเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
ตอบ ความรักของหนุ่มสาว

19. The idea of Chivalry หมายถึง
ตอบ การแสวงหาความรักเทิดทูนบูชาต่อสตรีสูงศักดิ์

20. Canterberry Tales คือ
ตอบ นิยายเสียดสีสัง คมของ Chance



แบบฝึกหัดบทที่ 6

ตอนที่ 1 จงทำเครื่องหมายถูกหน้าข้อที่ถูกและทำเครื่องหมายผิดหน้าข้อที่ผิด

........ถูก.......... 1 ศูนย์ของศิลปเรอแนสซองส์สมัยแรก(Early Renaissance)เกิดที่กรุงโรม
........ผิด..........2 พ่อค้าสมัยเรอแนสซองส์พยายามเลียนแบบชีวิตความเป็นอยู่ของขุนนางสมัย
                          กลาง เช่น การอุปถัมป์การศร้างงานของศิลปิน
........ผิด..........3 ศิลปสมัยเรอแนสซองส์นิยมความงามตามแบบอย่างจารีตสมัยกลาง
........ถูก..........4 นักปรัชญามนุษยนิยมสนใจเรื่องราวและหลักทำทางศาสนา
........ถูก..........5 ตระกูลเมดีซี Medici เป็นผู้อุปถัมป์ศิลปินที่เมืองฟลอเรนซ์

ตอนที่ 2 จงจับคู่ให้ถูกต้อง

ก................1. การซื้อขายตำแหน่งศาสนาและใบไถ่บาป
จ................2. ลักษณะที่ผิดเพี้ยนไปจากแบบแผนดั้งเดิม
ญ...............3. จิตรกรรมที่ชื่อ Calling of Mathew
ฉ.............. .4. ริเริ่มจัดภาพแบบกระจายซ่อนภาพรางๆไว้นความมืดให้แสงจ้าเป็นจุดๆ
ฌ...............5. ทำท่าโลดโผนคล้ายแสดงละคร แต่งกายหรูหราทำผ้าเป็นจีบมุมเกินจริง
ข................6. ประติมากรรมเดวิด
ค............... 7. มีโครงสร้างละเอียดซับซ้อน แลดูพร่างพรายจากการเน้นแสงสว่างในอาคารเป็นจุดๆ
ง................8. มีโครงสร้างเป็นเส้นโค้งอ่อนหวานเน้นรายละเอียดที่เป็นวิจิตรพิศดาร
ฌ...............9. เน้นให้เกิดความเคลิบเคลิ้มในบรรยากาศมากกว่า
ซ...............10. จิตรกรรมชื่อ การนัดพบของคู่รัก


แบบฝึกหัดบทที่ 7

1. ศิลปะลัทธินีโอคลาสสิค หมายถึงอะไร
ตอบ รูปแบบศิลปะที่หวนไปนำปรัชญาและหลักสุนทรียภาพทางศิลปะ แบบคลาสสิกของกรีกโบราณมาสรรค์สร้างขึ้นใหม่ในยุโรป

2. ความตื่นเต้นจาการขุดพบเมืองอะไรในสมัยโรมันซึ่งผลักดันให้เกิดศิลปะนี่โอคลาสสิค
ตอบ เมืองเฮอร์คูลาเนียมและเมืองปอมเปอี

3. ศิลปินที่กล่าวว่าศิลป คือ ดวงประทีปของเหตุผล ซึ่งต่อมากลายเป้นความเชื่อของศิลป
ตอบ ศิลปะนีโอ-คลาสสิก

4. ศิลปลัทธินีโอ-คลาสสิค มีแนวทางการสะท้อนผลงานทางศิลปะอย่างไร
ตอบ ต้องแสดงความถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์ การวางท่าทางที่สง่างามตามแบบอย่างของศิลปะกรีก-โรมันโดยเน้นความถูกต้องตามหลักความเป็นจริง

5. ผลงานของดาวิดชื่อ คำสาบานของพวกฮอราติไอ ต้องการสะท้อนแนวคิดอะไรแก่ผู้ชม
ตอบ แนวคิดเกี่ยวกับการรักชาติของนักรบโรมัน 3 คน ที่รับดาบจากบิดาไปสู่ศรัตรู

6. ภาพเขียนชื่อ โรงพยาบาลโรคระบาดที่เจฟฟา เป็นผลงานของใคร
ตอบ ดาวิด

7. ขณะที่ศิลปลัทธินีโอ-คลาสสิค คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักการและกฏเกณฑ์ทางศิลปะ แต่ลัทธิโรแมนติกกลับยึดถือและให้ความสำคัญต่อสิ่งใด
ตอบ อารมณ์และจิตใจของศิลปินมากกว่าเหตุผล

8. ภาพ แพเมดูซา The Raft of the Medusa เป็นผลงานของใคร
ตอบ เจอริโคลต์

9. ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเดอลาครัวเป็นอย่างยิ่งชื่อว่าอะไร
ตอบ ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ ชื่อ เสรีภาพนำหน้าประชาชน

10. แนวทางการสร้างสรรค์ผลงานในศิลปะลัทธิสัจจะนิยมเน้นเรื่องใดเป็นสำคัญ
ตอบ เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์

11. ศิลปะลัทธิเอมเพลสชั่นนิสม์ปรากฎอย่างเป็นทางการเมื่อใดและสร้างผลอย่างไร
ตอบ ค.ศ. 1874 สร้างความตื่นตระหนกและถูกประณามจากนักวิจารณ์ศิลปะแนวอนุรักษ์นิยมอย่างรุนแรง

12. ศิลปินที่ได้รับว่าเป็นผู้นำของกลุ่มลัทธิอิมเพลสชั่นนิสม์ คือใคร
ตอบ อีดูวาร์ด มาเนต์

13. อิมเพลสชั่นนิสม์เป็นจุดเริ่มต้นของสิลปสมัยใหม่ เพราะเปลี่ยนจาการเทคนิคการสร้างงานด้วยเกลี่ยสีมาเป็นเทคนิคอย่างไร
ตอบ เป็นแบบป้ายสีเพื่อให้สีผสมผสานกันในสายตาผู้ดู สนใจมิติทางสุนทรียศาสตร์

14. ศิลปินลิทธิอิมเพลสชั่นนิสม์ที่มีความสูงในการเสียงภาพคนและแง่มุมและทัศนียวิทยาชองสถาปัตยกรรมและทิวทัศน์ โดยใช้สีได้อย่างสดใส มีบรรยายกาศใสสะอาดราวกับสิ่งต่างๆเป็นของเหลว คือ ใคร
ตอบ ปิแอร์ ออกุสต์ เรอนัวร์

15. ศิลปะลัทธิโพสท์-อิมเพลสชั่นนิสม์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ มีอะไรบ้าง
ตอบ 1 กลุ่มที่เน้นการแสดงออกด้านอารมณ์
         2 กลุ่มที่เน้นความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางศิลปะ

16. ผู้สนับสนุนศิลปินกลุ่มโพสท์-อิมเพลสชั่นนิสม์คือใคร
ตอบ โรเจอร์ ฟราย กับ คลีฟ เบลล์

17. ความเชื่อในการสร้างสรรค์งานของพอล เซซานน์ เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ การประสานสัมพันธ์ของสีมีมากเท่าไร ความกลมกลืนกันก็มีมากเท่านั้น

18. แวนโก๊ะมีพัฒนาในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไร
ตอบ ระยะแรกสะท้อนภาพชีวิตที่หม่นหมองและแสดงออกแบบลัทธิเรียลิสม์ ตอนหลังใช้แปรงแต้มสีหนาเป็นริ้วรอยแปรงที่แสดงออกึงความรุนแรงของอารมณ์อย่างที่สุด

19. ผลงานที่ได้รับยกย่องของแวนโก๊ะมี 3 ภาพ คือ
ตอบ คนกินมัน ดอกทานตะวัน ราตรีประดับดาว

20. เมื่อกล่าวถึงจิตรกรคนสำคัญที่สร้างสรรค์ผลงานอย่างไม่มีทฤษฎี ไม่มีการบันทึกถึงความสามารถในด้านบุกเบิกสุนทรีภาพใหม่โดยงานที่เขาสร้างขึ้นนั้นเปรียบเสมือนการ บันทึก สิ่งที่เขาเห็นและเข้าใจโดยปราศจากความคิดเห็น ไม่มีความสงสาร ไม่มีอารมณ์รู้สึกไม่มีการกล่าวหาและไม่มีการส่อเสียดใดๆ หมายถึงศิลปืนคนใด
ตอบ ทรูลูส โรเทรค


 
แบบฝึกหัดบทที่ 8

1. ศิลปะลัทธิโฟวิสม์ มีความเป็นมาอย่างไร
ตอบ Fauvism มาจากภาษาฝรั่งเศส Les Fauves แปลว่า สัตว์ป่า จึงหมายถึง ลัทธิสัตว์ป่า อันเป็นคำเปรียบเปรยรูปแบบศิลปะเมื่อเปรียบเทียบผลงานของศิลปินสมัยเรอแนสซองส์ที่งามตามหลักสุนทรียภาพเดิม

2. แนวทางการสร้างสรรค์งานของกลุ่มสะพานสะท้อนเรื่องราวอะไรบ้าง
ตอบ ความสับสน ความอัปลักษณ์ของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและศาสนา

3. แนวทางการสร้างผลงานของกลุ่มม้าสีน้ำเงินเป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ แสดงออกทางอารมณ์อย่างรุนแรงที่แฝงความสนุกสนานจากการใช้สี เส้น และการแสดงลีลาคล้ายเสียงดนตรีสลายตัว

4. ศินปินที่ได้ชื่อว่าเป็นลัทธิอิมเพลสชันนิสม์ คือใคร
ตอบ เอ็ดวาร์ด มูงค์

5. ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ หรือ Cubism Art มีรากฐานอย่างไร
ตอบ มีรากฐานมาจากผลงานของเซซานน์

6. ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ เชื่อในเรื่องใด
ตอบ การแสดงออกทางศิลปะนอกจากจะไม่ต้องแสดงเชิงการถ่ายทอดเชิงความเป็นจริงตามตาเห็นแล้วยังจะต้องกลั่นกรองรูปทรงด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์รูปทรงให้เหลือเพียงแก่นแท้ที่มั่นคงแข็งแรง

7. ภาพ เกอนีแค ค.ศ.1937 เป็นผลงานของศิลปินคนใด
ตอบ ปาเบล ปิคัสโซ

8. ผลงานศิลปที่ชื่อ บ้านที่เลสตัค ในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเบอร์น เป็นผลงานของศิลปินคนใด
ตอบ จอร์จ บราค

9. ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของศิลปนามธรรมคือใคร
ตอบ แคนดินสกี จิตรกรชาวรัสเซีย

10. จิตกรลัทธินามธรรม เอ็กเพรสชันนิสม์ ที่มีชื่อเสียงและโดดเด่น ได้รับฉายาว่าเป็นจิตรกรแบบ Action Painting คือใคร
ตอบ แจคสัน พอลลอค

11. ศิลปลัทธิดาดามีพัฒนาการความคิดเริ่มแรกมาอย่างไร
ตอบ เตือนให้มนุษย์ตระหนักถึงผลลัพธ์ของสงคราม

12. การสลายตัวของศิลปินลัทธิดาดาเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตอบ การเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์โลกดีขึ้น และงานศิลปแนวลัทธิเซอร์-เรียลิสม์กำลังได้รับความนิยม ใน ค.ศ.1922

13. ศิลปลัทธิดาดาชื่อ น้ำพุ และภาพโมนาลิซามีหนวด เป็นผลงานของใคร
ตอบ มาร์เซิล ดูชัมป์

14. ศิลปินลัทธิเซอเรีย ลิสม์ที่ใช้ ทฤษฎีอันฉับพลันของความเข้าใจอันไร้เหตุผล อันมี
พื้นฐานมาจากการตความหมายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ของจิตร อันแปรปรวนคือใคร
ตอบ ซันวาดอร์ ดาลี

15. ความหมายเชิงปรัชญาของ เซอร์ –เรียลิสม์ คืออะไร
ตอบ เชื่อในความจริงมากกว่ารูปแบบความสัมพันธ์บางอย่างที่ถูกละเลยมาก่อนหน้านี้



แบบฝึกหัดบทที่ 9

1. ศิลปะป๊อปอาร์ต มีลักษณะอย่างไร
ตอบ เกี่ยวข้องกับบุคคลในสังคมปัจจุบัน ที่กำลังได้รับความสนใจหรือวิพากษ์วิจารณ์มิใช่เทพนิยาย ประวัติศาสตร์หรือศาสนา

2. ศินปินที่นำรูปร่างของอาหารซึ่งเป็นที่นิยมของสมัยนี้มาจำลองด้วยการใช้ผ้ายัดนุ่นคล้ายหมอนเพื่อสร้างความเร้าใจแก่ผู้พบเห็นคือใคร
ตอบ แคลส์ โอลเดนเบอร์ก

3. จิตรกรอเมริกันที่กล่าวถึงศิลปป๊อปอาร์ต ว่าในความคิดของฉันเป็นศิลปะที่ไร้ยางอายที่สุดแห่งวัฒนธรรมของพวกเขาคือใคร
ตอบ รอย ลิชแทนสเตน

4. ศิลปะป๊อปอาร์ต รูปแบบอย่างไร
ตอบ เป็นศิลปนามธรรมเน้นขอบเขตที่คมกริบ มีการจัดวางทิศทางและลีลาของเส้น รูปร่าง หรือจุดบนพื้นระนาบให้เกิดการลวงตา

5. Kinetic Art หมายถึงอะไร
ตอบ เป็นศัพท์ทางฟิสิกส์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในทางศิลปะกาโบ

6. ผลงานชื่อหน้าผาที่ถูกห่อ ในศิลปแบบ Conceptual Art สร้างสรรค์โดยศิลปินชื่ออะไร
ตอบ คริสโต

7. สร้างสรรค์ทางศิลปชื่อเขียนขดก้นหอย คือผลงานของใคร
ตอบ George Steinmetz.


 
แบบฝึกหัดบทที่ 10

1. พระสันตปาปาทรงนำดินแดนอิตาลีส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ภายใต้การคุ้มครอง ของ
อาณาจักรโรมัน นศักสิทธิ์ในสมัยใด
ตอบ สมัยยุคกลาง

2. Papal State เกิดขึ้นเมื่อใด
ตอบ ปลายศตวรรษที่ 15

3. ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างชาติอิตาลี ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
คือใคร
ตอบ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลแห่งซาร์ดีเนีย

4. ในอดีต สนามกีฬา Colosseum จุคนได้กี่คน
ตอบ 67000-80000 คน

5. จุดกำเนิดของเพลง ทรี คอย ออฟ เดอะ ฟาวน์เท่น ที่กรุงโรมคืออะไร
ตอบ น้ำพุเทรวี

6. มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นมหาวิหารที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันเนื่องจาก
อะไร
ตอบ เชื่อกันว่าเปนสถานที่ฝังร่างของนักบุญปีเตอร์ หนึ่งในสาวก สิบสององค์ของพระเยซู

7. นักวิทยาศาสตร์ทางอิตาเลี่ยนซึ่งทดลองเรื่องความเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง ณ หอ เอนปิซา
คือใคร
ตอบ กาลิเลโอ

8. ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นใหญ่ว่าหกเหลี่ยม เนื่องจากอะไร
ตอบ รูปทรงทางกายภาพของประเทศ

9. หอไอเฟล ตั้งอยู่ที่ใด
ตอบ ปารีส ฝรั่งเศส

10. พระราชวังแวร์ซายส์ ตั้งอยู่ในกรุงปารีสเป็นพระราชวังที่สวยงาม น่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลก
สร้างโดยใคร
ตอบ พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14

11. ภาพเขียนโมนาลิซาองดาวินซี ปัจจุบันอยู่ที่ใด
ตอบ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

12. สวิตเซอแลนกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในปี 1863 เมื่อใครจัดทัวร์
ครั้งแรกจากอังกฤษ ไปยังสวิตเซอร์แลนด์
ตอบ โทมัสคุ๊ก

13. พวกที่ย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์สวิตเซอแลนเมื่อ10000 ปีก่อนคริสตศักราชคือคนกลุ่มใด
ตอบ กลุ่มนักล่าสัตว์และคนเร่ร่อน

14. ในยุคจักวรรดิ โรมันอันศักสิทธิ์ สนธิสัญญา Verdun ในปี 834 ทำให้พื้นที่ทางทิศตะวันตกของสวิ
ตเซอแลนด์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Lothair ที่ 1 ส่วนทางด้านตะวันออก อยู่ภายใต้การ
ปกครองของกษัตริย์องค์ใด
ตอบ Louis the German

15. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1และ2 สวิตเซอแลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางการทหารบทบาทสำคัญ
เพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืออะไร
ตอบ การส่งสภากาชาติเข้ามาช่วยเหลือ

16. ประเทศสวิตเซอแลนด์เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา เซ็งเก็นซึ่งมีใจความสำคัญว่าอย่างไร
ตอบ นักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาติเซงเก็นแบบมัลติเพิลของประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถเดินทางเข้าออกประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่ารวม 26 ประเทศ

17. อาหารขึ้นชื่อของซูริกคืออะไรบ้าง
ตอบ เกซเนตเซลเตส และราทส์เฮเลนโตฟ

18. ประสาทที่ปรากฎในการ์ตูนของวอล ดิสนีย์นำรูปแบบมาจากประเทศอะไรในสวิตเซอแลนด์
ตอบ ปราสาทตูน

19. เมืองต้นกำเนิดของชัส ยี่ห้อเอ็ม เมนทัลและชอคโกแลตทรงสามเหลี่ยมท็อปเบิลโรน คือเมืองใด
ตอบ เบิร์น

20. สัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นคืออะไร
ตอบ หมี

21. อนุเสารีย์สิงโตมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ เป็นอนุเสารีย์ที่สร้างให้กับทหารที่เป็นองครักษ์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเสียชีวิต 786 คนใ นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส

22. เมืองศูนย์กลางการจัดนิทรรศการหลัก อีกเมืองหนึ่งของประเทศสวิตเซอแลนด์ คือ
ตอบ ซูริค

23. พิพิธภัณฑ์ใดได้รับยกย่องว่าสวยงามเป็นอันดับสองของโลก และมีชื่อเสียงมากที่สุดของมาดริด
และเป็นแหล่งสะสมภาพเขียนล้ำค่าแห่งหนึ่งของโลกคือ ที่ใด
ตอบ พิพิธภัณฑ์ปราโด

24. ปลาซ่า มายอร์ มีความสำคัญอย่างไร
ตอบ เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ราชาภิเษก สนามสู้วัวกระทิง

25. ผลงานส่วนใหญ่ของ ปิกัสโซ ที่บาเซโลนาสเปน อุทิศให้แก่ใคร
ตอบ เพื่อนรักของเขา คือ ซาบาร์เตส

26. เทศกาลวิ่งวัวกระทิงของเมืองแปรมโปรนาในสเปนจัดขึ้นในวัน Siant Fermin Day
นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่ออะไร
ตอบ ชมการแสดงโชว์หวาดเสียวของวัวกระทิง

27. ข้าวหมกสเปนมีต้นกำเนิดจากที่ใด
ตอบ บาเลนเซีย

28. Sangria เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสเปน มีส่วนผสมของอะไรบ้าง
ตอบ ไวน์แดง บรั่นดี น้ำอัดลม และผลไม้

29. ชาวโครแอทอพยพมาจากทางเหนือของยุโรปช่วงศตวรรษที่6และอยู่ภายใต้การปกครองของ อาณาจักร
ตอบ ไบแทนไซต์

30. หลังสงครามโกลครั้งที่2 มีการตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 2488 ภายใต้การ นำของจอมพลติโต ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ เซอร์เบีย โครเอเซีย สโลวีเนีย บอสเนีย เฮอร์เซโกวินา มอนเตเนโกร มาซิโดเนีย มณฑลโคโซโว และวอยโวดินา

31. ประเทศไทยได้รับการรับรองเอกราชของโครเอเชียเมื่อไร
ตอบ ค.ศ. 1990

32. ปัจจุบันมหาวิหาร เซน สตีเฟนที่มีเมืองซาเกรปมีลักษณะทางศิลปแบบใด
ตอบ แบบนีโอ กอธิค

33. มหาวิหารเซนต์เจมส์ที่เมืองไซเบนิค ซึ่งสร้างขึ้น 1431-1535 เป็นสถาปัตกรรมที่ผสมผสาน อะไรบ้าง
ตอบ ดาลมาเซียท้องถิ่น ศิลปะทางเหนือของอิตาลีและศิลปะทัศคานี

34. ได้รับฉายา แคลิโฟเนีย แห่งเมืองโครเอเชียคือเมืองใด
ตอบ Trogir

35. ชื่อเดิมของประเทศตุรกีคืออะไร
ตอบ จักรวรรดิออตโตมัน

36. House of Verjin Mary บ้านของพระแม่มารีมีความสำคัญอย่างไร
ตอบ เป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยและสิ้นพระชนม์ที่นี่

37. เมืองเอฟฟิซุส สำคัญอย่างไรต่อจักรวรรดิโรมัน
ตอบ เคยเป็นที่พักอาศัยของชาวโยนกและเคยเป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน

38. พระราชวังโดลมาบาชเช่ สร้างโดยใคร
ตอบ สุลต่านอับดุล เมอซิท

39. เหตุใดนาฬิกาทุกเรีอนของพระราชวังโดลมาบาชเช่จึงชี้ที่ 09.05 เป็นนิจนิรันดร์
ตอบ เพื่อเป็นการรำลึกของการจากไปเมื่อวันที่ 10 พ ย. 1938 ของอาคาล อาตาเติร์ก

40. อาหารประจำชาติตุรกีคืออะไร
ตอบ กะบับ


บทความ 395 ปี บันทึกของปิ่นโต

395 ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย
395 Years Pinto’s Pérégrinação
an Account of Historiography or Adventurous Novel
                         
                                                                         พิทยะ ศรีวัฒนสาร
    Bidya Sriwattanasarn

บทคัดย่อ

              บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จอย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มีสถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัย

              คำสำคัญ: แฟร์เนา เมนเดซ ปินโต , หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย , ทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส, สมัยอยุธยา
S_bidya@hotmail.com

Abstract

    Memoir of Fernão Mendez Pinto(1509-1583), “Pérégrinação”,
1st published in 1614 ,  informed  us  about  contemporary environment, geography, history, culture, customs, traditions and events of the lands he visited, including with his exciting and unbelievable biography. This caused enemies of the Portuguese nation in Europe and even some one in Portugal, used his name so funny as a banter-pun. His memoir had been generally referred by Thai historians for long time since H.R.H. Prince Damrong up to the present day, concerning to issues of the role of the Portuguese royal bodyguard and the royal conferring land for them to be their settlement and to proceed their religious ritual in Ayutthaya Period. So, it was the main problem to examine that the book was a account of historiography or just an adventurous novel.
      Key Words: Fernão Mendez Pinto, an account of historiography or an adventurous novel,Portuguese royal bodyguards, Ayutthaya period
S_bidya@hotmail.com

คำนำ

                “Pérégrinação หรือ Pérégrinaçam” แปลว่า “long tour,long travels” ตรงกับคำว่า “Peregrination“ หรือ “Pilgrimage” หมายถึง การเดินทางการท่องเที่ยว หรือการเดินทางแสวงบุญ    เมื่อแบร์นารด์ ฟิกูอิเยร์(Bernard Figuier)    แปลงานเขียนของปินโตเป็นภาษาฝรั่งเศสใน
ค.ศ. 1628  เขาใช้ชื่อ ว่า “les voyages adventureux de fernando mendez pinto 1537-1558” และมีชื่อภาษาอังกฤษโดยการแปลของเฮนรี โคแกนว่า “The Voyages and Adventures of Fernand Mendez Pinto” (1653)
               อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์และผู้อ่านจำนวนไม่น้อยกลับมีความสงสัยต่อความเก่งกล้าสามารถของปินโต บางคนประนามว่างานเขียนของเขาเป็นเรื่องโกหกเพื่อความมีชื่อเสียงของตน แม้แต่ชาวโปรตุเกสเองก็ยังนำชื่อของเขาไปล้อเลียนว่า “ Fernâo , Mendez? Pinto!(Fernâo, do you lie? Yes, I lie! )” ทั้งๆที่ปินโตไม่เคยระบุว่า “Pérégrinação” เป็นนิยายประโลมโลก ( Fiction) แต่กลับบอกว่า บันทึกของเขาเปรียบเป็น “ตำรา”ในการสำรวจดินแดนและการเดินเรือไปยังดินแดนต่างๆในโลกตะวันออก ผู้เขียนจึงได้เสนอแนวทางศึกษาเพื่อชี้ให้เห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของบันทึกฉบับนี้

ประวัติของปินโต


                 ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า (Montemor-o-velho)
ใกล้เมืองกูอิงบรา (Coinbre) ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่างค.ศ. 1509-1512 เมื่ออายุประมาณ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ. 1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา (Cue de Pedra) การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว (Diu) ในอินเดียในค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1558 รวมเป็นเวลา 21 ปีของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ (Tataria) โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน
                  ปินโตเคยเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาสถึง 13 ครั้ง ชีวิตในเอเชียของปินโตเคยผ่านการเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนศาสนา (missionary) เมื่อเดินทางกลับไปถึงโปรตุเกสในปีค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ (Pragal) ใกล้เมืองอัลมาดา (Almada) ทางใต้ของโปรตุเกส ปินโตเขียนหนังสือชื่อ “Pérégrinação”ขึ้น และถูกตีพิมพ์หลังจากเขาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1583   ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531 : 115) ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราชก่อนค.ศ.1548 ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1534-1546) นักประวัติศาสตร์บางคนนำหลักฐานของฝ่ายไทยเข้าไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือในเอกสารของเขาหลายประเด็น และชี้ให้เห็นความคลาดเคลื่อนของศักราชที่เขาอ้างถึง   หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง “Pérégrinação” ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปที่ 1 (Philip I of Portugal,1581-1598 และทรงเป็นกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน - Philip II of Spain,1556-1598) ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา
                งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส (1628) ภาษาอังกฤษ (1653) ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ “การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ1537-1558” แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ “Thailand and Portugal : 470 Years of Friendship”

รูปแบบการนำเสนอ

                งานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปของร้อยแก้ว บางตอนก็ระบุว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าและการสอบถามผู้รู้ อาทิ เหตุการณ์เมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคต บางตอนก็ระบุว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง เช่น เหตุการณ์เดินทางเข้ามายังสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531: 115) เป็นต้น
                ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลกให้มากยิ่งขึ้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย เขาระบุว่าอุทิศการทำงานให้แก่พระเจ้ามิได้หวังชื่อเสียง สิ่งที่ผลักดันให้เขาเดินทางไปยังตะวันออก คือ ธรรมชาติของลูกผู้ชาย เขาแสดงความขอบคุณพระเจ้าและสวรรค์ที่ช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายมาได้(Henry Cogan, 1653 :1-2) ส่วนเฮนรี โคแกนระบุว่า จุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ“Pérégrinação” จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจและกระตุ้นให้มีการสำรวจและค้นคว้าทางภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นบทเรียนให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรืออับปาง เพื่อทัศนศึกษาดินแดนต่างๆในโลกกว้างและเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของ“คนป่าเถื่อน”(Henry Cogan, 1653 : A-B)
             จุดมุ่งหมายที่จริงจังของทั้งปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณ์ สถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฏในหนังสือ “Pérégrinação” อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง อย่างน้อยๆฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสในปีค.ศ.1628 ก็ถูกอ้างอิงโดยซิมอง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de Laloubère) ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อกล่าวถึงจำนวนเรือที่เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยาก่อนหน้าการเข้ามาของตน (จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 1,2510 : 502) ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าหากลาลูแบร์เคยได้ยินการเสียดสีงานเขียนของปินโตมาบ้างก่อนที่จะเดินทางเข้ามาสยาม เขาควรจะได้ตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานจากผู้รู้พื้นเมืองชาวสยามอีกครั้ง ก่อนจะตีพิมพ์งานเขียนของตนที่กรุงอัมสเตอร์ดัมในปีค.ศ.1714 เพราะงานเขียนของปินโตเคยถูกล้อเลียนมาแล้วอย่างอื้อฉาว แต่กลับไม่ปรากฏข้อวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของปินโตในงานของลาลูแบร์

คุณค่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ
ราชอาณาจักรสยาม

                บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร การทหาร วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกสในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1543-1546) เมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ขึ้นใน ค.ศ.1548 (พ.ศ.2091) ปินโต กล่าวว่า “ชาวต่างประเทศทุกๆชาติที่ไปร่วมรบกับกษัตริย์สยามนั้นต่างก็ได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้รับบำเหน็จรางวัล การยกย่อง ผลประโยชน์ ความชื่นชมและเกียรติยศชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้รับอนุญาตให้สร้างโบสถ์เพื่อการปฏิบัติศาสนกิจในแผ่นดินสยามได้....”    การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์ หากไม่เข้าร่วมรบก็จะถูกขับออกไปภายใน 3 วัน ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวโปรตุเกสถึง 120 คน จากจำนวน 130 คน อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยาม เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกรานซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538 (พ.ศ.2081) คลาดเคลื่อนไปจากที่ระบุในหลักฐานของปินโต 10 ปี แม้ว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจะทรงอ้างจากหนังสือของปินโตก็ตามเรื่องราวในหนังสือ Pérégrinação สอดคล้องกับงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสหลายคน อาทิ การกล่าวถึง โดมิงกุส ดึ ไซซัส (Domingos de Seisus) ซึ่งเคยถูกจองจำและรับราชการเป็นนายทหารในกรุงศรีอยุธยา (กรมวิชาการ , 2531: 109) ก็ได้รับการยืนยันในงานเขียนของจูอาว เดอ บารอส (João de Baros) เช่นกัน (กรมวิชาการ,2531 : 95) เป็นต้น นอกจากนี้ อี.ดับเบิลยู. ฮัทชินสัน(E.W. Hutchinson) ก็อ้างตามหลักฐานของปินโตว่า
“ทหารโปรตุเกสจำนวน 120 คนซึ่งสมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงจ้างเป็นทหารรักษาพระองค์(bodyguards)ได้สอนให้ชาวสยามรู้จักใช้ปืนใหญ่”   ดร.เจากิง ดึ กัมปุชชี้ว่า บทบาทของทหารอาสาชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มีการเริ่มปรับปรุงตำราพิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกส จนเป็นที่มาของการตั้ง “กรมทหารฝารั่งแม่นปืน” ใน หนังสือ“ศักดินาทหารหัวเมือง” ซึ่งประกอบด้วยทหารเชื้อสายโปรตุเกสจำนวน 170 นาย จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ใกล้เคียงกับจำนวนของทหารอาสาโปรตุเกส 120 คน ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช

ความน่าเชื่อถือ

                หนังสือของปินโตถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในยุโรป จึงเป็นเหตุให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง วิลเลียม คอนเกรฟ (William Congreve, 1670-1729) นักเขียนบทละครชาวอังกฤษได้แทรกบทกวีในบทละครชื่อ “Love for Love” (ค.ศ.1695) เยาะเย้ยว่า “Mendez Pinto was but a type of thee, thou liar of the first magnitude.”
(กรมศิลปากร, 2526 : 42 ) เซอร์ ริชาร์ด เบอร์ตัน ( Sir Richard Burton) ในงานเขียนชื่อ “The Third Voyage of Sinbad, the Sailor” ระบุว่า การผจญภัยของปินโตมีลักษณะคล้ายกับเรื่องราวในนิยายอาหรับและตั้งฉายาเขาว่า “ซินแบดแห่งโปรตุเกส”    ดับเบิลยู. เอ.อาร์. วูด (W.A.R. Wood) ชี้ว่าควรจะอ่านงานเขียนของปินโตในฐานะที่เป็นเรื่องราวของชายชราที่ได้เดินทางกลับไปสู่มาตุภูมิอีกครั้งหนึ่งเพื่อความบันเทิง มิใช่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นวันต่อวัน และตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของปีศักราชในบันทึกชิ้นนี้ด้วย
               อย่างไรก็ดี ดึ กัมปุช อดีตกงสุลใหญ่โปรตุเกสเมื่อค.ศ.1936 กลับชี้ว่าหลักฐานของปินโตแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเดินทางเข้ามายังสยามจริง (Campos, 1940 : 14-15) และสิ่งที่สนับสนุนความน่าเชื่อถือในงานของปินโต คือ การยกงานเขียนในชั้นหลังๆมาเทียบเคียงความเป็นไปได้และความถูกต้องของเรื่องราวโดยเฮนรี โคแกน (ดูคำประกาศในฉบับแปลของHenry Cogan,1653 : ไม่มีเลขหน้า)   นักประวัติศาสตร์ไทยหลายคนเลือกใช้ข้อมูลของปินโตมาอ้างอิงโดยตลอด อาทิ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา มานพ ถาวรวัฒน์สกุลในเรื่องขุนนางอยุธยา(2536) อ้างเรื่องยศขุนนางสมัยอยุธยาตอนกลาง สุเนตร ชุตินทรานนท์ในเรื่องบุเรงนองกะยอดินนรธา(2538) ก็อ้างเอกสารของปินโตซึ่งระบุตรงกับราล์ฟ ฟิตซ์ (Ralph Fitch)ว่า พระเจ้าบุเรงนองนำเอาเรื่องการขอช้างเผือกมาเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างสยามกับพม่าใน ค.ศ.1569 เป็นต้น   งานเขียนปินโตบางส่วนมีรูปแบบเป็นจดหมายติดต่อกับบุคคล (Campos,1940,P.21) ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามความแม่นยำของเวลา (Timing) ที่ระบุในบันทึกของเขา และปินโตยังยืนยันว่าเขาได้รับจดหมายฝากฝัง (recommended letter) จากผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัว (Goa) เพื่อให้ได้เข้าเฝ้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระราชินีแคเธอรีนแห่งโปรตุเกส (Cogan,1653 : 317) แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการอ้างอิงพยานบุคคลของเขา  หนังสือ “ Pérégrinação ” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสยามน้อยมาก ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศูนย์กลางของโปรตุเกสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ที่มะละกา ปินโตจึงให้ความสำคัญต่อมะละกามากกว่ากรุงศรีอยุธยา การที่ราชสำนักโปรตุเกสสนใจดินแดนทางใต้ของพม่าและชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีนก็น่าจะมีผลต่อโครงเรื่องของปินโตเช่นกัน การที่เขามีฐานะเป็นเพียงกลาสีเรือ นักผจญภัย แสวงโชค มิใช่บุตรขุนนางหรือนักการทูต มิใช่พ่อค้าหรือนายทหารที่ถูกส่งเข้ามาติดต่อกับสยามโดยตรง ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือของเขาเน้นกล่าวถึงสถานที่ต่างๆตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกที่เขาเคยเดินทางไปถึงมากกว่า

หลักฐานของปินโตกับปัญหาในการศึกษา :
 ชุมชนโปรตุเกสสมัยอยุธยา

                หากนักเรียนประวัติศาสตร์คนใดจะนำงานเขียนของปินโตมาใช้ในการตรวจสอบเรื่องราวเกี่ยวกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายโปรตุเกส ความสัมพันธ์ของคนภายในค่าย ความสัมพันธ์ระหว่างค่ายโปรตุเกสกับราชสำนักอยุธยา ความสัมพันธ์ระหว่างค่ายโปรตุเกสกับมะละกา กัว มาเก๊า และราชอาณาจักรโปรตุเกส รวมไปถึงอาชีพ จำนวนคนและความเป็นอยู่ในค่ายโปรตุเกสสมัยอยุธยา ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามในการศึกษาและวิเคราะห์หลักฐานชิ้นนี้มากพอสมควร ปินโตระบุว่านักสอนศาสนาก็จำเป็นต้องเผยแพร่ศาสนาภายใต้นโยบายของราชสำนักหรือผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัวเช่นเดียวกับข้าราชการทั่วไป เมื่อนักบุญฟรานซิส ซาเวียร์(St. Francis Xavier)จะออกไปเผยแพร่ศาสนาในญี่ปุ่น ท่านก็ต้องเดินทางจากมะละกาไปยังกัว เพื่อรับฟังนโยบายของผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งอินเดียเสียก่อน (กรมศิลปากร, 2526 : 35) การที่ปินโตเคยเป็นทูตของข้าหลวงโปรตุเกสแห่งมะละกาไปยังรัฐต่างๆในภูมิภาคแถบนี้ อีกทั้งยังเคยเป็นทหารและนักสอนศาสนาของโปรตุเกสด้วย เขาจึงน่าจะเป็นบุคคลที่มีเกียรติพอที่จะได้รับความเชื่อถือจากผู้มีฐานะเป็นศัตรูชาติโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน แต่เขาก็ไม่เคยถูกนักประวัติศาสตร์โปรตุเกส อาทิ ดูอาร์ตึ บาร์บูซา(Duarte Barbosa) จูอาว ดึ บารอส(João de Baros )และคาสปาร์ คอร์รีอา(Caspar Correa)เสียดสีเลยแม้แต่น้อย   การกล่าวว่ากองทัพพม่านำกระบือและแรดมาลากปืนใหญ่เพื่อทำสงครามกับสยามในฉบับแปลของโคแกน ทำให้วูด(Wood)ชี้ว่างานเขียนของปินโต “เป็นหลักฐานเชิงจินตนาการ” ข้อเสนอของวูดอาจทำให้นักเรียนประวัติศาสตร์เห็นคล้อยไปกับคอนเกรฟที่ระบุว่า ปินโตเป็นคนขี้ปด โชคดีที่ ดร. เจากิง ดึ กัมปุชแย้งว่า ปินโตไม่เคยระบุคำว่า “แรด” ในงานเขียน คำศัพท์ที่เขาใช้ คือ คำว่า “bada หรือ abada”นั้น ในคริสต์ศตวรรษที่16 หมายถึง สัตว์ป่า หรือ สัตว์เลี้ยงที่กลายเป็นสัตว์ป่า แม้ว่าจะมีนักเขียนบางคน เช่น บาทหลวง กาสปาร์ ดึ ครูซ (Fr. Gaspar de Cruz) จะใช้คำดังกล่าวเรียกแรดก็ตาม ส่วนบาร์โบซา (Duarte Barbosa) จูอาว ดึ บารอส (João de Baros ) และ คาสปาร์ คอร์รีอา (Caspar Correa) ต่างก็ใช้คำว่า “ganda” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตเมื่อกล่าวถึงแรด ขณะที่นักรวบรวมพจนานุกรม ชื่อ บลูโต (Bluteau, 1727) แปลคำว่า “abada คือ สัตว์ป่าชนิดหนึ่ง” ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในการโต้แย้งประเด็นที่มีการแปล “abada” ว่า “แรด” (Campos, 1959 : 228) แม้ในภาษามาเลย์จะมีคำว่า “badâk” แปลว่า “แรด” แต่ในภาษาอาหรับก็มีคำว่า “abadat” หมายถึง “สัตว์ที่มีรูปร่างเป็นสีน้ำตาล” หรือ “สัตว์ป่า” หรือ “สัตว์เลี้ยงที่หลบหนีไปจนกลายเป็นสัตว์ป่า” ดึ กัมปุช ระบุว่า คำว่า “abada” ถูกแปลว่า “แรด” ในคริสต์ศตวรรษที่17 ดังนั้น “abada” ในบันทึกของปินโตจึงถูก ฟิกูอิเยร์และโคแกนแปลว่า “แรด” ในเวลาต่อมา ปินโตจะใช้คำว่า “abada” เมื่อกล่าวถึง “จามรี(yaks)” ซึ่งเป็นสัตว์ต่าง (beast of burden) ในตาตาเรีย (Tataria) เพราะไม่มีศัพท์ดังกล่าวในภาษาโปรตุเกส และใช้คำภาษาอาหรับว่า “abida” ในที่อื่นๆอีกร่วม12ครั้งเมื่อกล่าวถึงสัตว์ใหญ่คล้ายแรดหรือสัตว์ต่างชนิดอื่นซึ่งไม่อาจหาคำมาใช้แทนได้

สรุป
                  ผู้เขียนเห็นว่างานนิพนธ์ของปินโตมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นเพียงวรรณกรรมประโลมโลกหรือนิยายผจญภัยของกลาสีเรือ แม้เนื้อหาบางตอนจะดูตื่นเต้นเร้าใจเกินกว่าจะมีความสมจริงตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ แต่ในสภาวะที่ยุโรปเพิ่งจะพ้นจากยุคแห่งการจุดไฟเผาหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและยังคงเคร่งต่อจริยธรรมทางศาสนา มีใครบ้างที่จะกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าตนเองเคยรับประทานเนื้อมนุษย์เพื่อประทังชีวิตกลางทะเลหลังจากถูกโจรสลัดโจมตี ข้อถกเถียงในงานของปินโตอาจจะมีอยู่ไม่น้อย แต่มีหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นใดบ้างที่ปราศจากคำถามและความเคลือบแคลง งานของปินโตถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของศักราชก็เพราะบันทึกของเขาเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นจากความทรงจำเมื่อเขาเดินทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโปรตุเกสระยะหนึ่งแล้ว
                  พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐฯ เคยได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งว่ามีความแม่นยำในเรื่องศักราชและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ (นิธิ, 2525 : 65) แต่ต่อมานักประวัติศาสตร์บางท่านก็เคยตั้งข้อสงสัยต่อสถานภาพดังกล่าว (นิธิ, 2525 : 6) ซึ่งถือเป็นความไม่เที่ยงของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในทางกลับกันอาจจะมีผู้ใช้บันทึกของปินโตมาตรวจสอบความแม่นยำของเอกสารฉบับใดฉบับหนึ่งอย่างจริงจังในอนาคตบ้างก็ได้




เอกสารอ้างอิง

นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2523. ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา.
นิธิ เอียวศรีวงศ์และอาคม พัฒิยะ. 2525. หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย.
มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. 2536. ขุนนางอยุธยา.
ราชบัณฑิตยสถาน. 2550. กฎหมายตราสามดวงฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่ม1.
วิชาการ. กรม . 2531. 470 ปีสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและโปรตุเกส.
ศิลปากร. กรม. 2536. การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ.1537-1558.
สันต์ ท. โกมลบุตร(แปล). 2510.จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 1.
สุเนตร ชุตินทรานนท์. 2538. บุเรงนองกะยอดินนรธา.
Campos, Joaquim de. 1959. “Early Portuguese accounts of Thailand” Journal of The Siam
Society Volume VII.
Cogan, Henry. trans. 1653. The Voyages and Adventures of Fernand Mendez Pinto.
Collins, The. 1987. English Portuguese Portuguese English Dictionary.
Hutchinson, E.W. 1940. Adventurers in Siam in the Seventeen Century.
Wood, W.A.R. 1959 . “Fernão Mendez Pinto’s Account of Events in Siam” Journal of The
Siam Society Volume VII.